ผมก้อคนนึงละครับ ที่เปนมนุษย์เงินเดือน ทำงานด้านออกเเบบ ARTWORK ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง
เข้างาน 9.00 เลิกงาน 17.30 หลังจากนั้นผมก้อมาทำงานพิเศษ คือโต๊ะบอล เลิกอีกทีก้อโน้นนน....4-5ทุ่ม
ถ้าเปนพวกคุน คุนจาเหนื่อยไหมละครับ ผมเหนื่อยมาก เวลากินข้าว เวลานอน เเทบจาไม่มีเรยครับ
บางทีผมเคยมานั่งนึงดูว่าผมตึงไปรึป่าว เเต่ก้อไม่น่ะ ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป
เหนื่อยโว้ยยยยย.....
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
คำว่าแพ้ ที่แก้ไม่ยาก
แพ้..แพ้..แพ้...มันฟังดูเเย่ช่ายม่า...เเต่จิงๆเเร้ว...มันก้อไม่ได้เเย่ขนาดนั้นน่ะคัฟ ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่มุมมองมากกว่า ว่าจามองยังไง สมมุติว่าคุนเล่นเกมส์อารายซักเกมส์นึง คุนพยายามเล่นมันให้ดีที่สุดเเร้ว เต็มที่ ที่สุดเเร้ว แต่มันดันเกิดเเพ้ เราก้อไม่ใช่ว่าเราเปนคนที่เเย่น่ะคัฟ..มันอยู่ที่คุนมากกว่าว่า จายืดอกรับมันอย่างภาคภูมิใจ เเล้วยอมรับว่าเราแพ้ เเล้วกลับมาแก้ไขใหม่ หรือว่าเราจาเปนคนขี้แพ้เเร้วพาล เเร้วให้คนอื่นมองเหยียดหยาม
การที่เรายืดอกรับความพ้ายแพ้..มันก้อยังดีกว่า ดีออกเนอะ ดูเปนคนมีน้ำใจนักกีฬาดีออก เนอะๆๆ
แร้วอีกมุมมองนึงที่อยากนำเสนอ
คำว่า ฉันแพ้ คุนจาให้ใครเปนคนพูด คุนรึเค้า ที่ควรจาพูดคำนี้
สรุปสั้นๆน่ะคัฟ ผมคิดว่า คนเราถ้าคิดจิงจัง เต็มที่ หรือพยายามทำอะไรซักอย่างนึง ไม่มีคำว่าแพ้เเน่นอน
ถึงคนอื่นจะสรุปว่าเเพ้ เเต่ผมคนว่าคนที่ตั้งใจทำอารายเต็มที่ไม่มีคำว่าเเพ้น่ะคัฟ ผมเชื่ออย่างนั้น
สู้ๆคัฟทุกคน เพราะคำว่า แพ้ มันเเก้ไม่ยาก...
การที่เรายืดอกรับความพ้ายแพ้..มันก้อยังดีกว่า ดีออกเนอะ ดูเปนคนมีน้ำใจนักกีฬาดีออก เนอะๆๆ
แร้วอีกมุมมองนึงที่อยากนำเสนอ
คำว่า ฉันแพ้ คุนจาให้ใครเปนคนพูด คุนรึเค้า ที่ควรจาพูดคำนี้
สรุปสั้นๆน่ะคัฟ ผมคิดว่า คนเราถ้าคิดจิงจัง เต็มที่ หรือพยายามทำอะไรซักอย่างนึง ไม่มีคำว่าแพ้เเน่นอน
ถึงคนอื่นจะสรุปว่าเเพ้ เเต่ผมคนว่าคนที่ตั้งใจทำอารายเต็มที่ไม่มีคำว่าเเพ้น่ะคัฟ ผมเชื่ออย่างนั้น
สู้ๆคัฟทุกคน เพราะคำว่า แพ้ มันเเก้ไม่ยาก...
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
หน้ากากแสนสวย

เค้าว่ากันว่า อย่าใส่หน้ากากเข้าหาคนอื่น ผมขอเถียงครับ..ผมว่า ยุคนี้สมัยนี้..ถ้าไม่ใสหน้ากากคุยกัน ผมว่าอยู่ไม่ได้หรอกครับ..คุนอาจไม่ใส่หน้ากากเข้าหาเค้า เเล้วคุนจะแน่ใจได้ไงครับ ว่าเค้าจะไม่ใส่หน้ากากคุน..
ผมคิดว่าการที่เราใส่หน้ากากคุยกัน มันก้อไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือว่าร้ายเเรงอะไร ผมคิดว่ามันก้อเหมือนกับการใส่เสื้อผ้าแหละครับ มันขึ้นอยู่กับตัวคุณมากกว่าว่าจะเสือกใส่ชุดไหน? โอกาศไหน? เหมาะสมไหม?
หน้ากากสำหรับผม ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก้อคือ ที่เราใส่หน้ากากก้อเพราะว่า เราจะได้ปกป้องหน้าตาตัวเอง ไม่ให้เกิดอันตราย ก้อเหมือนกับการวางตัวแหละครับ เราก้อจำเป็นที่จะต้องใส่หน้ากากที่สวยงามไว้บ้าง เพราะมันจำเป็นต้องใช้ทุกที่แน่นอน ผมยกตัวอย่างง่ายๆเช่น
คุนทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง คุนไม่ชอบเจ้านายมาก แต่ไม่สามารถที่จะด่า จะว่าเค้าได้ เพราะคุนมีความจำเป็นที่จะต้องทำงานที่บริษัทนั้นต่อไป ฉะนั้น คุนจึงต้องเสเเสร้ง เเกล้งทำเป็นนิ่งเฉยไป (นี่ก้อคือข้อดีข้อนึงของหน้ากาก)
คนที่ใส่หน้ากาก ไม่ได้แสดงว่า เค้าไม่จิงใจ เเต่คุณจงจำไว้ว่า ไอ้ที่คุนคิดว่า ไม่ได้ใส่หน้ากากอ่ะ ลองถามตัวเองจิงๆจังๆซักที ลองมาคิดทบทวนดูใหม่ ว่าเราไม่ได้ใส่หน้ากากจิงๆหรอก ผมว่าไม่มีหรอกน่ะบนโลกใบนี้ ทีไม่เคยใส่หน้ากาก บางคนอาจจะใส่หลายๆอันต่อวันก้อเป็นได้ ขอย้ำว่า หน้ากากไม่ใช่สิ่งที่ผิด เเละไม่ใช่เครื่องหมายที่ชี้บ่ง ว่า ใครจิงใจ ไม่จิงใจ
เเต่ขอเตือนนิดนึงนะครับว่า จงใส่หน้ากากที่สวย เเละเหมาะสมน่ะครับ
และคุนล่ะครับ เจอหน้ากากสวยๆสักอันรึยัง??
ไม่พบพาล...ไม่รู้จัก...ไม่พูดคุย...ไม่รู้ใจ....
ไม่พบพาล..ไม่รู้จัก...ไม่พูดคุย...ไม่รู้ใจ
ไม่ได้จะบอกให้อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายน่ะ เเต่กำลังจาบอกว่าให้รู้จักผู้คน ดูคนให้เป็นมองคนให้ออก ว่าใครอารายยังไง...รู้ว่าเค้าไม่ดี ก้อจงอย่าไปทำอะไรเค้า คุนจงอยู่นิ่งเฉย และถ้าคุณยังคงยิ้มหัวเราได้อยู่(มันจะวิเศษมาก) ถึงแม้ว่าในใจคุนเลือดอารมณ์โกรธมันจาพุ่งพล่าน..เเต่จงนิ่งไว้จาดีกว่า ยิ้มรับไว้พยายามสร้างภาพออกมาให้สวยงามที่สุด แต่ในใจคุนจาคิดอารายไม่มีใครรู้ (จริงไหม?)
และอย่าเครียดให้ใครเห็น พยายามอย่าร้องไห้ให้ใครเห็น จงทำท่าเข้มแข็งไว้ ให้คนอื่นมองว่าเราไม่เป็นไร..
เเต่..หลังไมค์ คุนก้อจงร้องไห้ออกมาให้พอ...ให้หมด เเร้วจงจดจำมันไว้ให้ดี จงจำ จงจำ จงจำ เเต่ห้ามพร่ำเพ้อ...คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด..เเต่คนฉลาดย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แกล้งโง่
อันนี้จริงที่สุด..จงอย่าไปตามจองเวรจองกรรม อะไรกับศัตรู แต่ก้อไม่ใช่ว่าจายอม จงอย่าทำตัวอันพาล
เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คุนทำตัวอันตพาล..คุนก็จะไม่มีคนพบพาล...ไม่มีคนรู้จัก..ไม่มีคนพูดคุย...เเละ..ไม่มีคนรู้ใจ
ไม่ได้จะบอกให้อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายน่ะ เเต่กำลังจาบอกว่าให้รู้จักผู้คน ดูคนให้เป็นมองคนให้ออก ว่าใครอารายยังไง...รู้ว่าเค้าไม่ดี ก้อจงอย่าไปทำอะไรเค้า คุนจงอยู่นิ่งเฉย และถ้าคุณยังคงยิ้มหัวเราได้อยู่(มันจะวิเศษมาก) ถึงแม้ว่าในใจคุนเลือดอารมณ์โกรธมันจาพุ่งพล่าน..เเต่จงนิ่งไว้จาดีกว่า ยิ้มรับไว้พยายามสร้างภาพออกมาให้สวยงามที่สุด แต่ในใจคุนจาคิดอารายไม่มีใครรู้ (จริงไหม?)
และอย่าเครียดให้ใครเห็น พยายามอย่าร้องไห้ให้ใครเห็น จงทำท่าเข้มแข็งไว้ ให้คนอื่นมองว่าเราไม่เป็นไร..
เเต่..หลังไมค์ คุนก้อจงร้องไห้ออกมาให้พอ...ให้หมด เเร้วจงจดจำมันไว้ให้ดี จงจำ จงจำ จงจำ เเต่ห้ามพร่ำเพ้อ...คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด..เเต่คนฉลาดย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แกล้งโง่
อันนี้จริงที่สุด..จงอย่าไปตามจองเวรจองกรรม อะไรกับศัตรู แต่ก้อไม่ใช่ว่าจายอม จงอย่าทำตัวอันพาล
เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คุนทำตัวอันตพาล..คุนก็จะไม่มีคนพบพาล...ไม่มีคนรู้จัก..ไม่มีคนพูดคุย...เเละ..ไม่มีคนรู้ใจ
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
กะเป๋าสองใบ
.... มนุษย์ทุกคนมีกระเป๋าประจำตัวอยู่สองใบ
....ซึ่งบรรจุความชั่วเอาไว้เต็ม "ใบที่อยู่ด้านหน้า"บรรจุความชั่วของผู้อื่น
...ส่วน"ใบที่อยู่ด้านหลัง"บรรจุความชั่วของตัวเราเอง
ดังนั้น...เราจึงมักจะเห็นความผิด ความเลว ความชั่วของผู้อื่น แต่ไม่ค่อยเห็นของตนเอง...
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความผิดของผู้อื่นเห็นได้ง่าย แต่ไม่เคยเห็นความผิดของเราเอง...
....ซึ่งบรรจุความชั่วเอาไว้เต็ม "ใบที่อยู่ด้านหน้า"บรรจุความชั่วของผู้อื่น
...ส่วน"ใบที่อยู่ด้านหลัง"บรรจุความชั่วของตัวเราเอง
ดังนั้น...เราจึงมักจะเห็นความผิด ความเลว ความชั่วของผู้อื่น แต่ไม่ค่อยเห็นของตนเอง...
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความผิดของผู้อื่นเห็นได้ง่าย แต่ไม่เคยเห็นความผิดของเราเอง...
เทียนเเข่งเเสง
เมื่อ"เทียนไข"ถูกจุดใช้จนใกล้จะหมดเเท่งนั้น...เเสงของเทียน...มักจะยิ่งสว่างเรืองรองขึ้นกว่าเดินหลายเท่านัก
...ด้วยเหตุนี้เทียนเเท่งหนึ่งจึงคุยอวดกับเจ้าของว่า"เเสงเทียนของข้านั้นสว่างกว่าเเสงดาว เเสงจันทร์ เเละเเม้กระทั่งเเสงอาทิตย์ด้วยนะ"
...ทันใดนั้นเองกระเเสลมก็พัดผ่านมาวูบหนึ่ง เเล้วเเสงเทียนดับ วูบลง เจ้าของจึงจุดเทียนขึ้นใหม่
เเล้วกล่าวว่า"เเสงอาทิตย์ เเสงจันทร์ เเละเเสงดาวนั้นยากที่จะดับ เเละไม่ ต้องมีใครจุดให้ เเต่เทียนอย่างเจ้านั้นต้องมีคนจุดจึงจะมีเเสง เเละเจ้าก็มีวันดับมีวันหมดเเสง
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
...ทำหน้าที่ของตนอย่างเจียมตน จึงดูมีคุณค่าน่าไปเปรียบเทียบ เเข่งขันกับผู้อื่น
...ด้วยเหตุนี้เทียนเเท่งหนึ่งจึงคุยอวดกับเจ้าของว่า"เเสงเทียนของข้านั้นสว่างกว่าเเสงดาว เเสงจันทร์ เเละเเม้กระทั่งเเสงอาทิตย์ด้วยนะ"
...ทันใดนั้นเองกระเเสลมก็พัดผ่านมาวูบหนึ่ง เเล้วเเสงเทียนดับ วูบลง เจ้าของจึงจุดเทียนขึ้นใหม่
เเล้วกล่าวว่า"เเสงอาทิตย์ เเสงจันทร์ เเละเเสงดาวนั้นยากที่จะดับ เเละไม่ ต้องมีใครจุดให้ เเต่เทียนอย่างเจ้านั้นต้องมีคนจุดจึงจะมีเเสง เเละเจ้าก็มีวันดับมีวันหมดเเสง
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
...ทำหน้าที่ของตนอย่างเจียมตน จึงดูมีคุณค่าน่าไปเปรียบเทียบ เเข่งขันกับผู้อื่น
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ทฤษฏีโลกกลม...ในฉบับของผม
พวกคุณคงอาจรู้มาบ้างเเร้วว่า...ทฤษฎีโลกกลม...มาจาก กาลิเลโอ ผมก้อเชื่อน่ะ เเต่ผมเชื่อกว่านี้เพราะว่า ผมก้อได้พิสูจเองเหมือนกัน...คุณจะเชื่อไหม มีคนๆนึงที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เเต่พอได้คุยกันเเค่ครั้งเดียว ก้อรู้สึกได้ว่ามันถูกคอ ถูกใจ เหมือนกับว่า ผูกพันกันมาเเต่ชาติปางไหน เเต่ผมยังสงสัยว่า โลกเราตั้งกว้างใหญ่ไพศาล...อะไรหรอ ที่ทำให้เราได้มาพบมาเจอกัน...นั่นดิเนอะ...นี่เเหละคัฟ ผมถึงได้เชื่อมั่นว่าโลกมันกลมจิงๆ เเร้วถ้าจะถามว่าอะไรหรอ...ที่ทำให้เราได้มาพบมาเจอกัน ผมก้อไม่รู้ว่าเปนเพราะพรมลิขิตรึป่าว? ผมก้อไม่เเน่ใจ เพราะผมไม่รู้ว่าพรมลิขิต กับ เรื่องบังเอิญ มันต่างกันตงไหน เเต่ก้อช่างเถอะ ไม่ว่าจาด้วยพรมลิขิตหรือว่าอะไรก้อตาม ที่ที่ทำให้เรามาเจอกัน มันก้อน่าจาทำให้รู้ได้ว่าโลกมันกลม
ผมไม่ได้พิสูจว่าโลกมันกลมอย่างเดียวน่ะ ผมยังพิสูจได้ว่า โลกนี้มันช่างสวยงามมากๆ ถึงเเม้ว่ามันจามี ขาวบ้าง ดำบ้าง เเต่ผมว่ามันอยู่กะเรามากว่า ว่าเลือกจะมองสีอะไร จิงๆเเร้วโลกนี้มีหลากหลายสีด้วยซ้ำ
ถ้าคนที่คิดดี เค้าก้อเลืกที่จามองสีที่ดีเเละสวยงาม เเต่มันก้อไม่แปลกเรย ที่จะมีบางคนที่ชอบสีดำ เพราะคนเรามันเกิดมาไม่เหมือนกันนี่นา ใช่ไหม? ผมคนนึงเเหละ ที่เลือกที่จะมองโลกหลายหลายสี ตามอารมของผม บางทีโลกนี้ผมก้อมองเป็นสีชมพู ในเวลาที่ผมมีความรัก บางทีโลกนี้ผมก้อยังมองเป็นสีเขียว ในเวลาที่ผมรู้สึกว่าผมกำลังพักผ่อนเเระผ่อนคลาย และในบางอารม โลกนี้ของผม มันก้อเปนที่ ดำ หรือไม่ก้อสีเทา ที่เวลาที่ชีวิตผมกำลังตกต่ำเเละหม่นหมอง...
ผมอยากให้ทุกๆคนมองโลกหลายๆสีน่ะ โลกจะสวยหรือไม่สวย มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่อะไรเรย มันขึ้นอยู่กับ ตา คุนมากกว่า ว่าจาเลือกมองสีอะไร จิงไหมคัฟทุกคน ลองเก็บไปคิดดูน่ะคัฟ....
ผมไม่ได้พิสูจว่าโลกมันกลมอย่างเดียวน่ะ ผมยังพิสูจได้ว่า โลกนี้มันช่างสวยงามมากๆ ถึงเเม้ว่ามันจามี ขาวบ้าง ดำบ้าง เเต่ผมว่ามันอยู่กะเรามากว่า ว่าเลือกจะมองสีอะไร จิงๆเเร้วโลกนี้มีหลากหลายสีด้วยซ้ำ
ถ้าคนที่คิดดี เค้าก้อเลืกที่จามองสีที่ดีเเละสวยงาม เเต่มันก้อไม่แปลกเรย ที่จะมีบางคนที่ชอบสีดำ เพราะคนเรามันเกิดมาไม่เหมือนกันนี่นา ใช่ไหม? ผมคนนึงเเหละ ที่เลือกที่จะมองโลกหลายหลายสี ตามอารมของผม บางทีโลกนี้ผมก้อมองเป็นสีชมพู ในเวลาที่ผมมีความรัก บางทีโลกนี้ผมก้อยังมองเป็นสีเขียว ในเวลาที่ผมรู้สึกว่าผมกำลังพักผ่อนเเระผ่อนคลาย และในบางอารม โลกนี้ของผม มันก้อเปนที่ ดำ หรือไม่ก้อสีเทา ที่เวลาที่ชีวิตผมกำลังตกต่ำเเละหม่นหมอง...
ผมอยากให้ทุกๆคนมองโลกหลายๆสีน่ะ โลกจะสวยหรือไม่สวย มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่อะไรเรย มันขึ้นอยู่กับ ตา คุนมากกว่า ว่าจาเลือกมองสีอะไร จิงไหมคัฟทุกคน ลองเก็บไปคิดดูน่ะคัฟ....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)